fbpx

มาตรการ CBAM คืออะไร ? ทำไมธุรกิจต้องเตรียมพร้อมรับมือ !

CBAM คือมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนด้วยการปรับภาษีของ EU ซึ่งจะส่งผลต่อสินค้าคาร์บอนสูง เช่น เหล็ก ปูนซีเมนต์ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม !
CBAM มาตรการปรับภาษี Carbon ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นประเด็นสำคัญระดับโลกที่ประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันช่วยแก้ไขปัญหา โดยสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม มาตรการนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินค้านำเข้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก เช่น เหล็ก ปูนซีเมนต์ และอะลูมิเนียม ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายนี้ เพื่อรักษาขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก

เข้าใจพื้นฐาน CBAM คือมาตรการเกี่ยวกับอะไร ?

CBAM ย่อมาจาก Carbon Border Adjustment Mechanism หรือมาตรการปรับภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นมาตรการของสหภาพยุโรปที่ออกแบบมาเพื่อปรับภาษีสินค้านำเข้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงจากกระบวนการผลิต โดยต้องการยกระดับมาตรฐานของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมทั่วโลกและกำหนด “ราคาที่เป็นธรรม” สำหรับการปล่อยคาร์บอนที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิตสินค้า เพื่อไม่ให้สินค้าจากประเทศที่ไม่มีมาตรการป้องกันการปล่อยคาร์บอน มีความได้เปรียบจากการผลิตที่มีต้นทุนต่ำกว่า

มาตรการ CBAM เกิดขึ้นจากข้อกังวลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้ในการก่อสร้างและการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตอย่างมาก การปรับภาษีคาร์บอนในประเทศที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง จึงช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก โดยสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการ CBAM ได้แก่

  • ปูนซีเมนต์ เนื่องจากอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุด
  • เหล็กและเหล็กกล้า เนื่องจากกระบวนการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าต้องใช้พลังงานสูงและปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก
  • อะลูมิเนียม เนื่องจากการผลิตอะลูมิเนียมต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในปริมาณมาก
  • ปุ๋ย เนื่องจากกระบวนการผลิตปุ๋ยบางชนิดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • ไฟฟ้า เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำคัญ
  • ไฮโดรเจน เนื่องจากการผลิตไฮโดรเจนบางวิธีถือเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

กลไกการทำงานของ CBAM

CBAM จะคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าแต่ละหน่วย และกำหนดค่าภาษีคาร์บอนที่ผู้ส่งออกต้องชำระเมื่อนำเข้าสินค้าเหล่านั้นเข้าสู่สหภาพยุโรป โดยค่าภาษีคาร์บอนจะขึ้นอยู่กับราคาคาร์บอนในตลาดของสหภาพยุโรป 

ทั้งนี้ มาตรการ CBAM จะนำมาใช้งานอย่างเต็มรูปแบบในปี 2026 ซึ่งมีระยะเริ่มดำเนินการเปลี่ยนผ่านตั้งแต่เมื่อปี 2023 ไปจนถึงปี 2025 โดยจะมีการทดสอบและการติดตามอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศต่าง ๆ จะไม่หลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด ซึ่งผู้ผลิตจะต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสินค้าเพื่อนำมาคำนวณภาษีคาร์บอน หากมีการไม่ปฏิบัติตามมาตรการ CBAM จะมีการลงโทษที่สามารถส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าได้

CBAM คือมาตรการ ที่ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวสู่การใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยคาร์บอน

ผลกระทบต่อธุรกิจไทย

มาตรการ CBAM ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมระดับโลก แต่ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทย โดยเฉพาะในภาคการส่งออกที่พึ่งพาตลาดสหภาพยุโรปเป็นสำคัญ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจผลกระทบและเตรียมกลยุทธ์ในการปรับตัวอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน 

อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ

ดังที่กล่าวไว้ในข้างต้นว่า อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง เช่น เหล็ก ปูนซีเมนต์ อะลูมิเนียม ล้วนเป็นกลุ่มที่อยู่ในความเสี่ยงสูงสุดจากการบังคับใช้มาตรการ CBAM สินค้าในกลุ่มนี้จะมีการคำนวณภาษีคาร์บอนเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าที่ส่งออกสูงขึ้นตามไปด้วย หากไม่มีการปรับตัว อุตสาหกรรมเหล่านี้อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอย่างมาก

การเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการ

เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ ผู้ประกอบการควรเริ่มวิเคราะห์กระบวนการผลิตของตนเองและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นการลดการปล่อยคาร์บอนผ่านการใช้เทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทดแทน เช่น การเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ การขอใบรับรอง I-REC เพื่อยืนยันการใช้พลังงานสะอาดจะสามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาของคู่ค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นโอกาสการลดต้นทุนในระยะยาว

โอกาสในการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมสีเขียว

CBAM ถือได้ว่าเป็นความท้าทายใหม่สำหรับผู้ประกอบการ ทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว การลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและการใช้พลังงานสะอาดไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของธุรกิจในฐานะองค์กรที่ใส่ใจต่อความยั่งยืน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น

เมื่อทำความเข้าใจกันไปแล้วว่า CBAM คืออะไร ? ขั้นตอนต่อไป คือการเตรียมความพร้อมให้ธุรกิจก้าวเข้าสู่มาตรการ CBAM ได้แล้ววันนี้กับ GreenYellow ที่พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการปรับตัวแบบครบวงจร เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานทางเลือกที่ยั่งยืน ด้วยประสบการณ์การให้บริการโซลูชันด้านพลังงานสะอาดมากกว่า 15 ปี โดยมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และออกแบบระบบการจัดการพลังงานและการใช้พลังงานทางเลือกที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมทั้งสนับสนุนการขอใบรับรอง I-REC เพื่อยืนยันการใช้พลังงานสะอาดตามมาตรฐานสากล ติดต่อ GreenYellow วันนี้ เพื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

ข้อมูลอ้างอิง:

Carbon Border Adjustment Mechanism. สืบค้นเมื่อ 23 ธันวาคม 2567 จาก https://taxation-customs.ec.europa.eu/carbon-border-adjustment-mechanism_en

ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึงหลักล้านง่ายๆ เพียงติดต่อเราวันนี้ ติดต่อเรา

บทความโดย

แชร์บทความนี้
Facebook
Twitter
LinkedIn
X
Pinterest
WhatsApp

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

นักธุรกิจถือไอคอนจำลองคาร์บอนเครดิต

คาร์บอนเครดิต กุญแจสำคัญสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดด้วยโซลาร์เซลล์

ท่ามกลางความตื่นตัวเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญขององค์กรและธุรกิจทั่วโลก ซึ่ง “คาร์บอนเครดิต” เป็นหนึ่งในกลไกที่น่าสนใจเพื่อขับเคลื่อนพลวัตทางเศรษฐกิจและสังคมให้เข้าใกล้เป้าหมายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับการติดตั้ง “โซลาร์เซลล์” แหล่งพลังงานสะอาดที่พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างยั่งยืน เข้าใจคาร์บอนเครดิตและโอกาสทางธุรกิจ คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คือ หน่วยวัดการลดหรือการหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (จำนวนคาร์บอนฟุตพรินต์) ในแต่ละปี โดย 1 คาร์บอนเครดิต เท่ากับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตัน (tCO2e) ซึ่งสามารถทำได้จากหลายมาตรการ เช่น

อ่านเพิ่มเติม
Climate Tech เทคโนโลยีด้านภูมิอากาศ สู่การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

รับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ด้วย Climate Tech

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นหนึ่งในความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญ ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจ สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของประชากรทั่วโลก ปัจจุบันจึงมีแนวคิดและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อปัญหานี้ โดย Climate Tech กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง Climate Tech สร้างโอกาสในการพัฒนาที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม Climate Tech หรือ Climate Technology คือเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาพลังงานสะอาด สู่การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน นับเป็นส่วนสำคัญของการแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสิ่งแวดล้อม

อ่านเพิ่มเติม
ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากโรงงาน (คาร์บอนฟุตพรินต์)

คาร์บอนฟุตพรินต์ : ความสำคัญและวิธีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ปัจจุบัน “คาร์บอนฟุตพรินต์” (Carbon Footprint) เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่องค์กรและธุรกิจทั่วโลกใช้ประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากรายงานของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน พบว่าในปี 2566 ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 243.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ซึ่ง 71% มาจากภาคพลังงานและการขนส่ง ดังนั้น การเข้าใจความหมาย ประเภท วิธีการคำนวณ และแนวทางการลดคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้องค์กรของคุณลดการสร้างคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างเหมาะสม คาร์บอนฟุตพรินต์คืออะไร ? คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon

อ่านเพิ่มเติม

Free consultation