fbpx

รับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ด้วย Climate Tech

Climate Tech เทคโนโลยีด้านภูมิอากาศ สู่การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นหนึ่งในความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญ ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจ สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของประชากรทั่วโลก ปัจจุบันจึงมีแนวคิดและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อปัญหานี้ โดย Climate Tech กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

Climate Tech สร้างโอกาสในการพัฒนาที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

Climate Tech หรือ Climate Technology คือเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาพลังงานสะอาด สู่การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน นับเป็นส่วนสำคัญของการแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมทั่วโลก

ประโยชน์ของ Climate Tech

Climate Tech หรือเทคโนโลยีด้านภูมิอากาศ ได้รับการพัฒนาเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและช่วยให้โลกมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยมีประโยชน์สำคัญในหลายด้าน ดังนี้

1. ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

Climate Technology มีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน โดยมีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น พลังงานหมุนเวียน การดักจับคาร์บอน และโครงสร้างพื้นฐานที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งล้วนช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลดมลพิษทางอากาศ น้ำ และดิน ทำให้สิ่งแวดล้อมได้รับการฟื้นฟูและมีความสมดุลมากขึ้น

2. ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว

นอกจากผลดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว Climate Technology ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ที่เน้นความยั่งยืน การพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวช่วยให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะในภาคพลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งหลายประเทศเริ่มมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนด้านเทคโนโลยีสีเขียวผ่านมาตรการจูงใจทางภาษีและกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด ทำให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจที่เน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น

3. ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง

สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้หลายพื้นที่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น เช่น น้ำท่วม คลื่นความร้อน ไปจนถึงภัยแล้ง ซึ่ง Climate Tech ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้

4. สร้างความยั่งยืน

ความยั่งยืนเป็นเป้าหมายสำคัญของ Climate Technology ซึ่งช่วยให้มนุษย์สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างสมดุลโดยไม่ทำลายธรรมชาติ เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้เกิดแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้พลังงานทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยคาร์บอน และการออกแบบระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ช่วยลดของเสียและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ตัวอย่างของ Climate Technology

Climate Technology คือเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งปัจจุบัน เทคโนโลยีเหล่านี้นิยมนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม และมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว โดยมีตัวอย่างได้แก่

1. พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy)

พลังงานหมุนเวียน เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีด้านภูมิอากาศที่ได้รับการพัฒนาและใช้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีแหล่งพลังงานที่สำคัญ ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) พลังงานลม (Wind Energy) พลังงานน้ำ (Hydropower) และพลังงานชีวมวล (Biomass Energy)

2. การจัดการคาร์บอน (Carbon Management)

การจัดการคาร์บอนเป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถลดผลกระทบจากการปล่อยคาร์บอนลงได้ โดยเน้นการดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์จากคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งตัวอย่างของเทคโนโลยีนี้ ได้แก่

  • Carbon Capture, Utilization, and Storage (CCUS) เทคโนโลยีที่ช่วยดักจับคาร์บอนจากโรงงานอุตสาหกรรมและกักเก็บไว้ในชั้นหินใต้ดิน หรือเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า เช่น คอนกรีตและเชื้อเพลิงสะอาด
  • Carbon Offset Programs โครงการชดเชยคาร์บอน เช่น การปลูกป่า หรือการลงทุนในพลังงานสะอาด เพื่อลดผลกระทบจากกิจกรรมทางอุตสาหกรรม
  • การใช้คาร์บอนในอุตสาหกรรม (Carbon Utilization) การเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กลายเป็นวัสดุที่มีประโยชน์ เช่น การผลิตพลาสติกชีวภาพ หรือเชื้อเพลิงทางเลือก

3. การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture)

ภาคการเกษตร เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก โดยมีการนำ Climate Technology มาใช้เพื่อช่วยลดผลกระทบจากเกษตรกรรม และนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาช่วยปรับปรุงไปสู่การทำเกษตรอย่างยั่งยืน เช่น ระบบน้ำหยด เซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพดิน รวมถึงการเกษตรแนวตั้ง (Vertical Farming)

4. โครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น (Resilient Infrastructure)

Climate Technology ยังมีบทบาทสำคัญในการออกแบบเมืองและโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ดีขึ้น ตัวอย่างของโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการเปลี่ยนแปลง ได้แก่อาคารประหยัดพลังงาน (Green Buildings) ถนนและสะพานที่ทนต่อภัยพิบัติ (Climate-Resilient Infrastructure) รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะพลังงานสะอาด นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) ที่ใช้ IoT และ AI ในการบริหารจัดการพลังงาน น้ำ และขยะให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

Climate Tech ต่างกับ Clean Tech อย่างไร ?

ถึงแม้ว่า Climate Tech และ Clean Tech จะเกี่ยวข้องกับแนวคิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน แต่ทั้งสองมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • เป้าหมายหลัก
    • Climate Tech เน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและช่วยให้โลกสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
    • Clean Tech เน้นการลดมลพิษ การจัดการของเสีย และการใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • เทคโนโลยีหลักที่ใช้
    • Climate Tech มุ่งเน้นไปที่พลังงานหมุนเวียน การดักจับและใช้คาร์บอน และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    • Clean Tech มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดมลพิษจากทุกแหล่ง เช่น อุตสาหกรรมขยะ พลังงานสะอาด และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
  • ขอบเขตการใช้งาน
    • Climate Tech มุ่งเน้นไปที่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรง เช่น การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
    • Clean Tech มีขอบเขตที่กว้างกว่า ครอบคลุมทุกเทคโนโลยีที่ช่วยลดมลพิษและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร เช่น เทคโนโลยีรีไซเคิลและการจัดการขยะ

แม้ Climate Tech และ Clean Tech จะมีความแตกต่างกัน แต่ทั้งสองสามารถใช้ร่วมกันได้เพื่อสร้างแนวทางที่ยั่งยืนในการพัฒนาเศรษฐกิจและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

Climate Technology ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ยังช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว หากคุณกำลังมองหาวิธีว่าควรนำ Climate Technology ไปทำยังไงให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร GreenYellow ผู้นำด้าน Green Technology เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีด้านพลังงาน พร้อมให้คำปรึกษาในการขอใบรับรอง I-REC อีกทั้งยังมีบริการให้ความช่วยเหลือในทุกขั้นตอน เพื่อให้คุณสามารถอ้างสิทธิ์การผลิตและการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนได้อย่างถูกต้อง เพื่อร่วมเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตที่ดีกว่า

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

ข้อมูลอ้างอิง:

1.Climate Tech โซลูชันการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ. สืบค้นเมื่อ 9 มีนาคม 2568 จาก https://thestandard.co/climate-tech/
2.ส่อง 5 เทรนด์ Climate Tech ทางรอด Climate Change สู่เป้าหมาย Net Zero. สืบค้นเมื่อ 9 มีนาคม 2568 จาก https://www.nxpo.or.th/th/18841/

ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึงหลักล้านง่ายๆ เพียงติดต่อเราวันนี้ Contact Us

บทความโดย

แชร์บทความนี้
Facebook
Twitter
LinkedIn
X
Pinterest
WhatsApp

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

นักธุรกิจถือไอคอนจำลองคาร์บอนเครดิต

คาร์บอนเครดิต กุญแจสำคัญสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดด้วยโซลาร์เซลล์

ท่ามกลางความตื่นตัวเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญขององค์กรและธุรกิจทั่วโลก ซึ่ง “คาร์บอนเครดิต” เป็นหนึ่งในกลไกที่น่าสนใจเพื่อขับเคลื่อนพลวัตทางเศรษฐกิจและสังคมให้เข้าใกล้เป้าหมายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับการติดตั้ง “โซลาร์เซลล์” แหล่งพลังงานสะอาดที่พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างยั่งยืน เข้าใจคาร์บอนเครดิตและโอกาสทางธุรกิจ คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คือ หน่วยวัดการลดหรือการหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (จำนวนคาร์บอนฟุตพรินต์) ในแต่ละปี โดย 1 คาร์บอนเครดิต เท่ากับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตัน (tCO2e) ซึ่งสามารถทำได้จากหลายมาตรการ เช่น

Learn More
ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากโรงงาน (คาร์บอนฟุตพรินต์)

คาร์บอนฟุตพรินต์ : ความสำคัญและวิธีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ปัจจุบัน “คาร์บอนฟุตพรินต์” (Carbon Footprint) เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่องค์กรและธุรกิจทั่วโลกใช้ประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากรายงานของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน พบว่าในปี 2566 ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 243.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ซึ่ง 71% มาจากภาคพลังงานและการขนส่ง ดังนั้น การเข้าใจความหมาย ประเภท วิธีการคำนวณ และแนวทางการลดคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้องค์กรของคุณลดการสร้างคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างเหมาะสม คาร์บอนฟุตพรินต์คืออะไร ? คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon

Learn More
ฝุ่นบนแผงโซลาร์เซลล์ที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน

ฝุ่นเกาะบนแผงโซลาร์เซลล์ส่งผลอะไร ป้องกันอย่างไรดี ?

‘พลังงานแสงอาทิตย์’ เป็นหนึ่งในทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับการใช้พลังงานสะอาด แต่ประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์สามารถลดลงได้หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้า คือฝุ่นละอองที่เกาะอยู่บนแผงโซลาร์ โดยเฉพาะฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงผลกระทบของฝุ่นบนแผงโซลาร์เซลล์ ตลอดจนวิธีการดูแลให้เหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญ ฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อโซลาร์เซลล์อย่างไร ? 1. ลดปริมาณแสงที่เข้าสู่แผงโซลาร์เซลล์ ฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีอนุภาคขนาดเล็ก สามารถลอยอยู่ในอากาศและสะสมบนพื้นผิวของแผงโซลาร์เซลล์ ก่อให้เกิดเป็นชั้นฝุ่นบาง

Learn More

Free consultation